Tweet
สวัสดีครับ
Montreal ในประเทศแคนาดา ขึ้นอันดับหนึ่งเมืองที่ดีที่สุดในโลกสำหรับนักศึกษา แซง Paris ประเทศฝรั่งเศสที่รั้งอันดับหนึ่งติดต่อกันมาถึง 4 ปี
การจัดอันดับเมื่อที่ดีที่สุดในโลกสำหรับนักศึกษาที่ต้องการศึกษาในต่างประเทศ เป็นการจัดอันดับโดย QS Best Student Cities ซึ่งยังมีการจัดอันดับ QS World University Rankings หรือมหาวิทยาลัยดีที่สุดในโลกเป็นประจำทุกปี
จุดเด่นที่ทำให้ Montreal ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองดีที่สุดสำหรับนักศึกษา เนื่องจากเมืองนี้มีมหาวิทยาลัยระดับนานาชาติหลายแห่งที่มีคอร์สการเรียนให้เลือกสำหรับนักศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักเช่น McGill University และที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักเช่น Université du Québec à Montréal
นอกจากนี้ เมือง Montreal ยังได้ความสนใจจากนักศึกษาต่างประเทศที่ต้องการเรียนในสหรัฐอเมริกาแต่กังวลถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายการรับคนเข้าเมืองภายใต้ยุคของประธานาธิบดี Donald Trump
การคัดเลือกเมืองที่ดีที่สุดสำหรับนักศึกษา จะพิจารณาจากมาตรฐานโดยรวมของมหาวิทยาลัยในเมืองนั้น, สาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักศึกษา, ค่าครองชีพสำหรับนักศึกษา, สภาพความเป็นอยู่ภายในเมือง, ความได้มาตรฐานสากลของเมืองแห่งนั้นเช่นความปลอดภัย, มลภาวะ ฯลฯ เมืองที่จะได้รับการจัดอันดับต้องมีประชากรไม่ต่ำกว่า 250,000 คนและมีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับ QS World University Rankings อย่างน้อย 2 แห่ง
ผลการจัดอันดับปีนี้ ประเทศแคนาดาประสพความสำเร็จที่สุด นอกจาก Montreal ที่ได้อันดับหนึ่งแล้ว Vancouver ได้อันดับ10และ Toronto ได้อันดับ 11 ส่วนสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Paris ตกเป็นอันดับสองมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นและความน่าอยู่ที่ลดลงเนื่องจากปัญหาความปลอดภัย
ในปีนี้ทวีปเอเซียได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับ Top 25 ถึง 7 เมือง (ไม่รวมเมืองในประเทศออสเตรเลีย) และ Seoul ประเทศเกาหลีใต้คือเมืองที่ได้อันดับดีที่สุดของทวีปเอเซียโดยอยู่ในอันดับ 4
25 เมืองที่ดีที่สุดในโลกสำหรับนักศึกษา ประกอบด้วย
1. Montreal
2. Paris
3. London
4. Seoul
5. Melbourne
6. Berlin
7. Tokyo
8. Boston
9. Munich
10. Vancouver
11. Hong Kong และ Toronto (ได้คะแนนเท่ากัน)
13. Sydney
14. Singapore
15. Zurich
16. Vienna
17. Kyoto-Osaka-Kobe (นับรวมเป็นเมืองเดียว)
18. Edinburgh
19. New York
20. Brisbane
21. Taipei
22. Canberra
23. Barcelona
24. Manchester
25. Shanghai
ที่มา: BBC
0 Comments